รู้จัก "ป้าติ๋ม" วัย 73 ปี หญิงไทยคนแรกที่มีรูปบนซองช็อกโกแลตแบรนด์ดัง

“ป้าติ๋ม” เจ้าของสถานสงเคราะห์สัตว์ บ้านนางฟ้าของสัตว์จร หญิงไทยคนแรก ที่มีรูปบนซองช็อกโกแลต Hershey’s ในแคมเปญ สตรีที่ช่วยเหลือสังคม เปิดเผยที่ทำอยู่ทุกๆวันนี้ เนื่องจากความสงสาร และ เมตตาต่อสุนัข

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เรียกว่ากลายเป็นเรื่องฮือฮา ที่ถูกเอ่ยถึงกันมาสักพัก สำหรับนางกวิพร วินิจเถาปฐม หรือป้าติ๋ม อายุ 73 ปี เจ้าของสถานสงเคราะห์ สัตว์บ้านนางฟ้าของสัตว์จร หญิงไทยคนแรก มีภาพขึ้น บนซองช็อกโกแลต แบรนด์ระดับโลก อย่าง Hershey’s ในแคมเปญ สนับสนุนพลังสตรี

ต่อมา ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ไปยังบ้านเลขที่ 342 ม.9 ตำบลบ้านป่า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี โดยได้เจอป้าติ๋ม แล้วก็ นายอนันต์ธรณ์ วินิจเถาปฐม หรือเทป ซึ่งเป็นลูกชาย ที่กำลังเตรียมอาหาร และ หุงข้าวไว้ให้สุนัข ที่เลี้ยงไว้ในบ้านกว่า 70 ตัว และก็ สุนัขจรจัด ตามถนน ใน อำเภอแก่งคอย

ป้าติ๋ม
ป้าติ๋ม เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจ ที่ได้ร่วมแคมเปญของ Hershey’s

ส่วนตัวก็ไม่คาดคิด ว่าการกระทำของตนเอง จะมีคนสนใจ และก็ นึกถึง ซึ่งครั้งแรกลูกชายของตัวเอง ได้มาพูดว่า มีช็อกโกแลต Hershey’s จะเอาแม่ไปลงในซอง ของช็อกโกแลต ตนเองก็มิได้สนใจอะไร ไม่รู้เรื่องว่า ที่เลือกไปลงที่ซองช็อกโกแลต แล้วจะเป็นอย่างไร ตนเองก็มีความคิดว่า ไม่ใช่ดารา จะไปช่วยยอดขายเขาได้อย่างไร

จากนั้นตอนวันที่ 26 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา ลูกชายได้โทร.มาบอกว่า ซองช็อกโกแลต มีรูปแม่ลงไปแล้วนะ ก่อนที่จะเอามาดู ก็ยังไม่รู้สึกอะไร กระทั่งมีเพื่อนส่งไลน์มาให้ดูว่า “ฮือฮาหญิงไทย” แล้วมีการเอาไปลงในยูทูบด้วย ตนก็งง แต่ว่ารู้สึกว่าดีเหมือนกัน จะได้มีคนเข้าใจ และก็รับรู้ ในสิ่งที่เราเองทำ นั่นคือการดูแลหมา

ตนทำไปทั้งหมด ด้วยเหตุว่าการที่มีเมตตา รวมทั้ง สงสาร ถามว่าดีใจไหม ที่เฮอร์ชี่เอารูปไปลง ก็มีความคิดว่าดี ในแง่ว่าเขาจะได้ช่วยในด้านการประชาสัมพันธ์ ก็เลยมีความรู้สึกว่า

ตัวเองน่าจะได้รับความช่วยเหลือ จากสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกๆวันนี้ เพราะเหตุว่าอยู่ด้วยความลำบาก มีค่าใช้จ่ายอยู่ทุกวัน ทำคนเดียวก็ไม่ไหว เนื่องจาก สุนัขมันเยอะมาก

ก็ต้องจ้างแรงงานเข้ามาช่วย ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เดือนละเกือบล้านบาท เนื่องจากว่าเรารับหมามาแล้ว จะทิ้ง ก็ไม่ได้

โชคดีที่ยังได้รับพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระราชทานค่าอาหารสุนัขทุกเดือน เดือนละ 100,000 บาท โดยได้รับพระราชทานมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 และ ผู้แทนพระองค์มาติดตามดู รวมทั้ง ให้รถนำอาหารมาส่ง ให้ทุกเดือน แต่ว่าก็ยังไม่พอ ที่จะเลี้ยงดู สุนัข เนื่องมาจากอาหารสุนัข ที่ใช้เลี้ยงต่อวัน วันละ 29 กระสอบ จากปริมาณสุนัข 1,200-1,300 ตัว และก็ แมวอีก 600 ตัว ล้วนเป็นสุนัข ที่เจ้าของทิ้งไว้ทั้งหมด

ตนเองช่วยหมามา ตั้งแต่ธันวาคม ปี 2546 เงินที่เอามาเลี้ยง ก็เป็นเงินที่ตนเองทำธุรกิจ เกี่ยวกับการทำขนส่ง คอนกรีตผสมเสร็จ มีรถโม่ปูน วิ่งรับส่งอยู่ 280 คัน แม้กระนั้นตอนนี้ขายไปหมด เหลืออยู่ไม่ถึง 10 คัน และก็ ยังประกาศขายบ้าน ที่จังหวัดสระบุรี รวมถึง ที่ดิน ในจ.ชลบุรี อีกด้วย

เพื่อนำเงินมาดูแลหมา ให้มันรอดชีวิตไปวัน ๆ ตอนนี้ก็ต้องการจะหาคนมาซื้อที่ ที่บ้านของตนเอง จะได้มีเงินมาเลี้ยงหมา คนที่ประสงค์ จะให้ความช่วยเหลือ ดูแลสัตว์จรจัด สามารถติดต่อได้ที่เพจ บ้านนางฟ้าของสัตว์จร

ป้าติ๋ม รูปบนซองช็อกโกแลต Hershey's
ด้านนายอนันต์ธรณ์ ลูกชาย เล่าว่า ทางช็อกโกแลตเฮอร์ชี่ ได้โทร. เข้ามาหาตน

เมื่อประมาณ เดือนกันยายน หรือต.ค.ของปีที่แล้ว บอกว่าสนใจ ที่จะทำแคมเปญ โดยมีแม่ของตัวเอง มาเป็นตัวแทนสตรี ที่ช่วยเหลือสังคม โดยจะมีการนำภาพของคุณแม่ มาลงในหีบห่อของช็อกโกแลต

ซึ่งทางเฮอร์ชี่ ได้ติดต่อเข้ามาเอง โดยที่ตนมิได้ขอเข้าไป ในส่วนด้านค่าจ้าง ค่าโฆษณา ทางเราไม่ได้รับใด ๆ เลย เนื่องจากว่าการที่เขาเอาภาพ ของแม่ ไปลงในซอง ช็อกโกแลต แบรนด์ระดับโลก

มันช่วยทำให้ พวกเรามีชื่อ และ ช่วยให้คนได้รู้จัก เผื่อจะมาช่วยเหลือทำบุญ กับหมาแมวจรจัด ของแม่ ที่มีอยู่เกือบ 2,000 ตัว เนื่องจาก ภาระหน้าที่รายจ่ายที่มหาศาล

โดยบนซองช็อกโกแลต จะมีคิวอาร์โค้ด เพื่อสแกนไปดูข้อมูล ของเพจได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถทำได้ อาจจะต้องรอ ประมาณ ปลายเดือนก.พ. หรือมี.ค.

แต่เบื้องต้น สามารถดูข้อมูล ได้ทางเว็บไซต์ของเฮอร์ชี่ได้ ในนั้นจะมีข้อมูล ของแม่ เกี่ยวกับ “บ้านนางฟ้าของสัตว์จร” รวมทั้ง ข้อมูลของบุคคลอื่นที่ได้รับเลือก คาดจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันสตรีโลก ช่วงมีนาคม.

ชี้แจงกล้องวงจรปิด "บุรีรัมย์" เเถลงขอโทษ, ส.บอล ประชุมออกบทลงโทษสั่งถอดทันที

ดราม่า กล้องวงจรปิดห้องทีมเยือน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แถลงรับผิดระเบียบการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการไทยลีก พร้อมคำอธิบาย

ดราม่าบุรีรัมย์ ติดกล้องวงจรปิดในห้องแต่งตัว ของทีมเยือน ที่สนามช้างอารีน่า ของบุรีรัมย์ยูไนเต็ด จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมตามมา ซึ่งมองในมุมที่ว่า จะเป็นการสร้างการได้เปรียบให้ทางฝั่งเจ้าบ้าน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมทั้ง การติดวงจรปิดยังเป็นการผิดกฎของการแข่งบอลไทยลีก อีกด้วย ซึ่งทางทัพปราสาทสายฟ้า ก็ได้ออกมายอมรับผิด พร้อมมีคำอธิบายแล้ว

จากกรณีที่กลายเป็นข่าวใหญ่ ในวงการลูกหนังไทย เมื่อทาง ชลบุรี เอฟซี ได้ออกมาเปิดเผยว่าด้านในห้องแต่งตัว ของทีมเยือนที่สนาม ช้าง อารีนา รังเหย้าของ บุรีรัมย์ยูไนเต็ด มีการติดกล้องวงจรปิด (CCTV) ซึ่งทางคณะทำงานได้ใช้เทปกาวปิดทับ เนื่องจากว่าเกรงว่า จะถูกบันทึกภาพการวางแผน และ พูดคุยในห้องแต่งตัว

ชี้แจงกล้องวงจรปิด บุรีรัมย์
ล่าสุด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาชี้แจง และก็ ขอโทษ

รวมทั้ง ได้นำกล้องในห้องพักนักกีฬา ทีมเยือนออกเป็นที่เรียบร้อย “ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏทางสื่อมวลชน ว่าสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอล รายการไทยลีก ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีการติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ในห้องแต่งตัวนักกีฬา ซึ่งผิดระเบียบการจัดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก นั้น”

“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอเรียนชี้แจงว่า สนาม ช้าง อารีนา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน ของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีการติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ครอบคลุมทุกพื้นที่ของสนาม และบริเวณภายนอกสนาม จำนวนทั้งสิ้น 156 ตัว”

“ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานระบบรักษาความปลอดภัย เนื่องจากสนามช้างอารีนา เป็นพื้นที่ที่เปิดให้นักเรียน นักศึกษา และ ประชาชนทั่วไปเข้าชม เพื่อเป็นการทัศนศึกษา และร่วมกิจกรรม “Stadium Tour” โดยเฉพาะห้องแต่งตัวนักกีฬาทีมเหย้า และ ทีมเยือน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจ และมีผู้เข้าชมมากที่สุด จึงจำเป็นต้องติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด และ มีการบันทึกภาพไว้ทุกวัน เพื่อการรักษาความปลอดภัยเป็นสำคัญ ภาพที่บันทึกไว้ ไม่ได้นำมาใช้ เป็นข้อมูล ที่ทำให้เกิดการได้เปรียบ ในการแข่งขันแต่อย่างใด”

“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอยอมรับว่า ได้กระทำผิดระเบียบ การจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการไทยลีก และ จะถอดกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ออกจากห้องแต่งตัว นักกีฬาทีมเยือน ในวันจัดการแข่งขัน และ ปฏิบัติตามระเบียบการจัดการแข่งขันของ บริษัท ไทยลีก จำกัด อย่างเคร่งครัดต่อไป”

ด้าน คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ได้มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ครั้งที่ 6/2566 และก็มีมติเอกฉันท์ ว่าการปฏิบัติของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นการกระทำผิดระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดการแข่งกีฬาฟุตบอลลีกอาชีพรายการไทยลีก 1 บทที่ 4 ข้อ 21.7 (หน้า18)

ระเบียบว่าด้วยการลงโทษวินัย มารยาท ที่เข้าข่ายความผิด ข้อ 5.3.19 ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดการแข่งขัน ในแต่ละรายการแข่ง มีโทษดังต่อไปนี้

– ครั้งแรก เตือนเป็นลายลักษณ์อักษร และกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จ
– ครั้งที่ 2 หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ในครั้งแรก ให้ปรับเงิน 10,000 บาท และกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จใหม่
– ครั้งต่อๆ ไป ปรับเงินเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จนกว่าจะดำเนินแก้ไขแล้วเสร็จ

กล้องวงจรปิด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท พิจารณาความประพฤติปฏิบัติของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีความผิดตามระเบียบ

ว่าด้วยการลงโทษฯ บทที่ 3 หมวดที่ 2 ข้อ 5.3.19 โดยความผิดพลาดครั้งแรก เตือนเป็นลายลักษณ์อักษร และระบุระยะเวลาปฏิบัติการแก้ไข โดยควรต้องไม่มีกล้องวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว ในห้องแต่งตัวนักกีฬาบอล ในห้องของเจ้าหน้าที่จัดการแข่ง และก็ ในเขตเทคนิคเฉพาะส่วน ที่เป็นที่นั่งนักกีฬาบอลสำรอง ตามระเบียบข้อบังคับ ว่าด้วยการจัดการแข่งขันดังกล่าวข้างต้น ในวันที่ใช้สนามกีฬาดังกล่าว เป็นสถานที่จัดการแข่งในฐานะทีมเหย้าทุกนัดการแข่งขันชิงชัย

ซึ่งเรื่องนี้ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ได้ออกมาเผยว่า “เราได้แจ้งกับผู้ควบคุมการแข่งขัน ทราบว่ามีกล้องวงจรปิด ติดอยู่ในห้องแต่งตัวทีมเยือน ซึ่งก็อยู่ที่ผู้ควบคุมการแข่งขันว่าจะเขียนรายงานส่งไปหรือไม่ การติดกล้องในห้องทีมเยือนคู่แข่ง เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม”

ล่าสุด ธีราทร บุญมาทัน ดาวเตะของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาชี้แจง ถึงเรื่องดังกล่าวผ่าน THEERATHON5 OFFICIAL ว่า “กล้องวงจรปิดในห้อง ขอยืนยันด้วยการเป็นนักเตะทีมชาติไทย ไม่เคยมีคลิปการวางแผนของห้องนักเตะทีมเยือนเอามาวิเคราะห์เลยครับ”

“มีแต่ทีมงานสเกาท์ของทีมที่คาดการณ์ว่าใครจะลง และมาดูรายชื่อก่อนแข่งอีกที ว่าใครจะลงบ้างครับ” ตัวรุกทีมชาติไทย รับรองหนักแน่น ถึงประเด็นที่กำลังดราม่าอยู่ในตอนนี้

สำหรับ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ยูไนเต็ด ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เดินหน้าเก็บชัยอย่างต่อเนื่อง ยึดจ่าฝูงลีกด้วยผลงานชนะ 14 เสมอ 3 แล้วก็ ยังไม่เคยแพ้ให้กับใคร ฤดูกาลนี้

"สู่ขวัญ บูลกุล" ในวัย 50 รู้สุขรู้ทุกข์ ออกแบบการจากลาของตัวเองไว้แล้ว ไม่อยากกลับมาเกิดอีก

เป็นหญิงต้นแบบของสาวๆคนไม่ใช่น้อยในยุคนี้ สำหรับ “สู่ขวัญ บูลกุล” ที่ปีนี้ย่างเข้าเลข 5 แล้ว สู่ขวัญได้มาเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ทั้งสุข และก็ ทุกข์ รวมถึงการผ่านวาระของการจากลา ที่เป็นช่วงที่ทุกข์ที่สุดในชีวิต จนถึง ไม่คิดต้องการจะเกิดมาอีกแล้ว

ชอบพลังงานดี ๆ ในวัยนี้?

“ใช่ พวกเรามีความคิดว่า ยิ่งพวกเราอายุมากขึ้น พวกเรายิ่งชอบตัวเองเยอะขึ้น

ยุคเก่าคำว่า รักตัวเอง เราไม่เก็ตเลย มันยังไง มีความหมายว่าอะไร ฉันจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเหรอ สุข ทุกข์ ที่มันผ่านมาในชีวิตเรา เรียนรู้กับมัน ตอนทุกข์ ก็ทุกข์ ตอนสุข ก็สุข แต่มันทำให้เราเข้าใจชีวิต และ รู้จักชีวิต

จนถึงมาเป็นวันนี้ พวกเรามิได้เพอร์เฟกต์ และ ไม่ได้มีทุกอย่าง แต่พวกเราก็เดิน ก้าว ผ่านผ่านทุกอย่างมาได้ บางทีก็ไปได้อย่างรวดเร็ว บางทีก็ไปได้ช้า บางทีก็จะต้องลงไปพักก่อน ลุกไม่ไหว แต่ในที่สุดพวกเราก็ผ่านหลายอย่างมาแล้ว

จะเรียกว่าภูมิใจก็ได้ จะเรียกว่า พวกเรารู้จะชีวิตก็ได้ พวกเราไม่ค่อยกลัว ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราเชื่อว่ามันจะผ่านไปได้ ทั้งหมดจะเกิดเรื่องราวในชีวิตที่ในที่สุด เราจะทราบว่าที่มาถึงวันนี้ เป็นเพราะเหตุว่าตัวเรา

เพราะการกล่าวถึงชีวิตมันไม่มีใครช่วยเหลือกันได้นะ คุณจะต้องเดินไปด้วยตัวเอง ทุกปัญหา ทุกปัญหา มีคนยื่นกำลังใจได้ ให้คำแนะนำได้ ให้ความรักได้ แต่คนที่ในที่สุดจำเป็นต้องลุกขึ้นยืน รวมทั้งเดินไปเองให้ได้คือ เรา”

จริง ๆ แล้วชีวิตผู้คน มันมิได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่อยู่กับสิ่งที่เรามีอยู่?

“มันบางทีก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี ที่สุด ที่เราทำได้ก็ได้ แต่พวกเราพากเพียรที่จะคิดทำอะไรให้มันยากไปอีก มันจำต้องค้นหาแนวทางการ หรือยังไง แต่ท้ายที่สุด มันก็คืออยู่กับโมเมนต์นั้น ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะ สุข หรือ ทุกข์ มันจะผ่านไปทุกวินาที อันนั้นล่ะ คือดีที่สุดแล้ว ที่พวกเราจะทำได้”

คำสั่งเสียสู่ขวัญ บูลกุล

“สู่ขวัญ บูลกุล” เคยบอกไว้ว่า อีก 5 ปีจะออกมาจากวงการ ปัจจุบันนี้ยังเหลืออีก 1 ปี แต่ สู่ขวัญ ก็ไม่เชิงว่า อยู่ในแวดวง?

“(หัวเราะ) ยังคิดอยู่ตลอดเวลา ยังคิดอยู่เรื่อยๆนะ ถ้าหากเราไม่ทำอะไรทุกอย่าง ที่พวกเราทำอยู่ในขณะนี้ จะเป็นอย่างไร แต่ขวัญพบว่าพวกเราชอบรักคนที่ปฏิบัติงานด้วยเสมอเลย มันเลยเป็นอีกหนึ่งเรื่องไป ไม่ใช่ว่าเราอยู่ในวงการ หรืออะไร ขวัญเป็นคนโชคดี เรื่องคน ทุกครั้ง คนที่ขวัญดำเนินการด้วย จะกลายเป็นเพื่อนในชีวิตจริงไปหมดเลย ด้วยเหตุผลดังกล่าวการออกจากแวดวงมันยากตรงที่พวกเขาเป็นเพื่อนเรา การที่ไปดำเนินงานเหมือนการได้ไปพบเพื่อนฝูง ซึ่งพวกเราก็รักเขา และ ยังต้องการพบเขาอยู่ตลอด”

ชีวิตโดยรวมยังมีอะไรที่รู้สึกต้องการจะค้นหาอีกไหม?

“ขวัญว่าเราไม่ต้องไปค้นหรอกค่ะ ชีวิตมันใส่อะไรให้เรามาตลอด โดยที่พวกเราไม่ต้องค้นหา ขวัญว่าเราจัดการมันให้ได้ดีกว่า ยิ่งโตขึ้น ประสบการณ์ชีวิตมากเพิ่มขึ้น สิ่งที่ชีวิตมันโยงให้พวกเรา มันอาจจะสลับซับซ้อนขึ้น ยากขึ้น ทำไมที่มันผ่านมาแล้ว มันง่ายไปแล้ว พวกเราก็จะไม่ไปโฟกัสกับมัน พวกเราจะก้าวข้ามผ่านมันไป โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความบากบั่นแล้ว เรารู้ เราเข้าใจว่าพวกเราจะผ่านมันไปอย่างไร เรารู้เราเข้าใจว่าเราจะคิดกับเรื่อง ๆ นั้นอย่างไร ชีวิตมันยังเป็นอะไร ที่อเมซิ่งเสมอ

ถึงปีนี้ ขวัญ 50 ปี ขวัญก็ไม่เชื่อว่า ขวัญเข้าใจชีวิตดี เพียงแค่แต่ว่า พวกเราทำความเข้าใจที่จะดำรงชีวิตอยู่กับ สุข และก็ ทุกข์ พอใจ ไม่พอใจ เสร็จ แล้วก็ ผิดหวัง ทราบดีว่าจะอยู่กับสิ่งต่าง ๆ และก็อารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้อย่างไร แต่พี่ขวัญก็ไม่เชื่อว่า พี่ขวัญเข้าใจชีวิตได้ดี พวกเราเชื่อว่ามันยังมีอีกเยอะ เพียงแค่เมื่อพวกเรามาถึงครั้งคราว บางโอกาส เมื่อพวกเราจำเป็นต้องเจออะไร พวกเราก็จะพบสิ่งนั้นเอง”

4 ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ทุกข์ที่สุด คืออะไร ก้าวผ่านยังไง?

“ทุกข์ที่สุดคือ เรื่องเกี่ยวกับการจากไปของคุณพ่อกับคุณแม่ ด้วยเหตุว่าภายใน 3 ปี ที่ผ่านมา เสียเรียงกันเลยค่ะ ป๋าเสียไปก่อน ป๊ะป๋าเสียปี 2019 แม่เสียปีที่แล้ว ถือเป็นการสูญเสีย ที่มันก็ให้สัจธรรมของชีวิตจริง ๆ

เพราะสำหรับขวัญคุณพ่อสำคัญมากในชีวิต แต่พวกเราก็รู้มาตลอด เนื่องจากป๊ะป๋าไม่ได้เฉียบพลัน แต่แกป่วยมานับเป็นเวลาหลายปีแล้ว เราก็รู้ว่ามันมีวันใดวันหนึ่งแน่นอน ก็คุยกับตัวเองว่า สิ่งที่จะมีผลให้เราเสียใจ คือใน เวลาที่เรามีอยู่ เพราะเหตุไรเราถึงไม่ทำ

ตอนที่ป๋ายังอยู่ ใน วันเวลานั้น ณ สภาพแวดล้อมนั้น ณ ความสามารถในช่วงเวลานั้นทุกอย่างที่เราพอจะทำได้ พวกเราว่าเราได้ทำเต็มที่แล้ว เมื่อป๊ะป๋าจากไป เราก็น่าจะเดินต่อไปได้ ซึ่งเราก็เดินต่อไปได้จริง ๆ จ้ะ แต่ความทุกข์ใจมันหนักมาก ราวกับว่าบางอย่าง ฉีก แล้วหายวับไปเลยจากชีวิต ชีวิตมันต่อรองไม่ได้จริง ๆ เรื่องสัจธรรมชีวิต มันต่อรองมิได้จริง ๆ มีบางอย่างฉีกจนขาดหายวับไปกับตาเลย ขนาดว่าเราเตรียมมาอย่างดีแล้ว พวกเราก็ยังคิดว่า มันมีผลกระทบกับเราม๊าก…มากๆๆๆ

เราทำทุกอย่างมาอย่างดี จัดเตรียมใจมาอย่างดี ในเวลานั้นไม่มีฟูมฟาย กระทั่ง ลอยอังคารเสร็จเหมือนทุกอย่างมันถั่งโถม เรารู้สึกได้เลยว่า นี่คือความทุกข์ หากจะเป็นความทุกข์แบบไหน ที่เราคิดว่าไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว

เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาพบกับความทุกข์ใจอย่างนี้อีก เนื่องจากว่ามันหนัก ยิ่งพวกเรามองเห็นลูกพวกเราโศกสลด จากที่เราทุกข์ใจอยู่แล้ว มันยิ่งสลดไปอีกเท่านึง พวกเรายิ่งจำต้องทรหดอดทน พี่ขวัญบอกเลยว่า ความทรหดอดทนของคนเราไม่มีขีดจำกัด”

สู่ขวัญ

“สู่ขวัญ” มีคุยกับสามีแล้ว หากเธอรั้งฉันไว้ ฉันจะกลับมาหลอก?

“ใช่ ก็คุยกับพี่โชคไว้ พี่โชคเขาจะบอกว่ามิได้สิ ถ้าหากพวกเรายังมีโอกาส พวกเราต้องทำแบบเต็มที่ ทำสุดความสามารถ ที่พวกเราจะทำเป็น ได้โอกาสพวกเราจำเป็นต้องสู้ ขวัญก็พูดว่า เดี๋ยวก่อนจ้ะ สู้นี่ดิฉัน ฉันทรมานนะคะ ทุกวันนี้ขวัญดำเนินชีวิตอย่างรู้คุณค่าของชีวิต ที่ผ่านมา ก็มิได้เสียใจกับเรื่องอะไร ก็ทำเต็มที่ ทุกวันนี้ตื่นมารู้สุข รู้ทุกข์ ในแต่ละวัน เมื่อมีความสุขก็รู้คุณค่าของความสุข เมื่อพบความทุกข์ ก็เข้าใจว่านี่ล่ะ คือการเล่าเรียนของชีวิต ไม่เคยประมาทกับมัน ไม่เคยไม่เห็นคุณค่าของชีวิต

ถ้าหากวันนึงเราเป็นอะไรไป แล้วมันต้องเป็นความทรมาน สำหรับการรักษา แม่รู้สึกว่าแม่โอเค ปล่อยเถิด พยายามพูดกับลูกไว้ แต่กับสามีมองแบบเสมือนจำต้องรักษาไหม เราเลยจำต้องใช้มุก ถ้ามายืดแบบทรมานนะ รับประกัน พี่ล้างหน้าล้างตาอยู่แหงนหน้าขึ้นมา พี่มองเห็นขวัญอยู่ข้างหลังแน่ๆ คือข่มขู่ไว้ก่อนเลย พี่จะเจอกับขวัญอีกภาคนึงแน่นอน”

แล้วสุขในแต่ละวันของพวกเรา?

“เพียงแค่ทุกตอนเช้า มีกาแฟก็แฮปปี้แล้ว นี่คือสิ่งที่พี่ขวัญมีความสุข ในทุก ๆ รุ่งเช้าของวัน ตื่นเช้าตรู่มาทำนั้นทำนี้ ทำครัวเสร็จ ก็นั่งทานกาแฟ นั่งดูต้นไม้ ได้นั่งอยู่ตามลำพังเฉยๆอากาศดี ก็แฮปปี้ แดดดีก็สวย วันนี้ครึ้ม ๆ มันก็เป็นอีกแบบนึง หนาวนี้หนาวอยู่หลายวัน ก็รู้สึกโชคดี ที่ปีนี้หนาวนาน ยังแฮปปี้กับโมเมนต์นั้นเหมือนเดิม ถ้าเกิดสู่ขวัญ อาทิตย์หน้าต้องตายแล้วนะ อะไรบ้างที่เรานึกถึง บางครั้งอาจจะคิดถึงตอนที่พวกเรานั่งรับประทานกาแฟเฉยๆของพวกเราผู้เดียว เช้าตรู่ นั่งมองต้นไม้ แล้วคิดโน่น คิดนี่ไป”

มันเรียบง่ายเหลือเกิน?

“ขวัญรู้สึกว่า ขวัญโชคดี ที่ว่าถ้าเกิดความสุขของขวัญ มันง่ายเท่านี้มันก็กลายเป็นขวัญ มีความสุขได้ทุกวันเลยเนอะ ต่อให้เรามีเรื่องมีราวทุกข์อยู่ พวกเราก็จะตื่นมาแล้วมีโมเมนต์นั้น เป็นตอนที่พวกเราได้อยู่เงียบๆแล้วคิด ปล่อยวางกับอะไรบางอย่าง คิดที่จะช่างมัน และก็เห็นด้วยกับความไม่ได้ดั่งใจนั้น ถึงแม้ว่าจะมันมีความสุข หรือ ทุกข์ มันก็เป็นจังหวะที่ดี เป็นโมเมนต์ที่ดี ทุกวันที่พวกเรามีอยู่ในแต่ละวัน”

ชิงถล่มก่อน! รัสเซีย รัวยิงขีปนาวุธ รอบใหม่โจมตียูเครน หลังตะวันตกรับปาก มอบรถถังหนักให้เคียฟ

ข้าราชการยูเครน ต้องรุดหาที่กำบัง ในวันพฤหัสบดี (26เดือนมกราคม) หลังรัสเซีย รัวยิงขีปนาวุธ และ ส่งโดรนโจมตีทั่วราชอาณาจักรรอบใหม่ สังหารอย่างน้อย 11 ราย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ หนึ่งวัน หลังจากเคียฟได้รับคำสัญญาจากตะวันตก ว่าจะมอบรถถังประจัญบาน สำหรับต่อสู้สกัดการรุกรานของมอสโก

คำแถลงของเยอรมนี รวมทั้ง สหรัฐฯ ที่กล่าวว่า จะส่งมอบรถถังหลายสิบคัน ให้ยูเครน ได้โหมกระพือความโกรธเกรี้ยวจาก รัสเซีย ซึ่งที่ผ่าน ๆ มามักโต้กลับแนวโน้มความสำเร็จต่าง ๆ นานา ของยูเครน ด้วยการระดมจู่โจมทางอากาศ ที่ทำให้ผู้คนหลายล้านคน จะต้องอยู่ โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ เช่นเดียวกับเครื่องทำความร้อน และก็ น้ำ

เครมลินระบุ พวกเขามองคำมั่นสัญญาของตะวันตก เกี่ยวกับการมอบรถถังแก่เคียฟ เป็นหลักฐานที่แจ้งชัดยิ่งขึ้น ว่า สหรัฐฯ และก็ ยุโรป กำลังเข้าพันพัวโดยตรง ในสงครามที่กินเวลามานาน 11 เดือน คำกล่าวหาที่ทางอเมริกา และ ยุโรปปฏิเสธ

ยูเครนเผยว่า พวกเขาจัดการสอยโดรนที่รัสเซียส่งมา ได้หมดทั้ง 24 ลำ เมื่อคืนที่ผ่านมา ในนั้นรวมทั้ง 15 ลำรอบเมืองหลวง แล้วก็จรวดนำวิถีรัสเซีย 47 ลูก จากทั้งหมด 55 ลูก ซึ่งนิดหน่อยเป็นการยิงออกมาจากเครื่องบินทิ้งระเบิด ทางยุทธศาสตร์ Tu – 95 ในแถบอาร์กติก ของรัสเซีย

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ระบุในคำชี้แจง ที่เผยแพร่ทางเทเลแกรม ว่า “เป็นอีกครั้ง ที่ความพยายามของประเทศก่อการร้าย ที่ข่มขู่เราด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีขนานใหญ่ ต้องประสบความพ่ายแพ้ ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งรัสเซียจะประสบความพ่ายแพ้เร็ว ๆ นี้”

รัวยิงขีปนาวุธ

โฆษกหน่วยเร่งด่วนกล่าวมาว่า มีคนตาย 11 ราย และ บาดเจ็บ 11 คน ในเหตุโดรน รวมทั้ง รัวยิงขีปนาวุธ จู่โจม

ซึ่งครอบลุม 11 ประเทศ นอกนั้นแล้ว มันยังก่อความย่ำแย่แก่อาคารต่าง ๆ 35 แห่ง

เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศ ดังระงมทั่วยูเครน ในระยะเวลาที่ผู้คน กำลังมุ่งหน้าไปดำเนินการ ส่วนในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศ หมู่คนจะต้องหลบเข้าที่กำบัง ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นระยะเวลาหนึ่ง

เดนีส ชมีฮาล นายกรัฐมนตรียูเครน เผยออกมาว่า สถานีกระแสไฟฟ้าย่อยหลายแห่ง ถูกโจมตี ด้วยที่รัสเซีย ยังคงเดินหน้าเล็งเป้าหมายถล่มสถานที่ตั้งทางพลังงาน

DTEK บริษัทเอกชนผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ที่สุด ของยูเครน ระบุว่า ทางบริษัทได้จัดการปิดปฏิบัติการเร่งด่วนล่วงหน้า ก่อนถูกโจมตีในกรุงเคียฟ เช่นเดียวกับพื้นที่โดยรอบ และก็ ในแคว้นโอเดซา กับแคว้นดนิโปรเปตรอฟสก์

โอเดซา เมืองท่าริมทะเลดำ ซึ่งทางยูเนสโก กำหนดให้เป็นแหล่งมรดกโลก ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะอันตราย ในวันพุธ (25ม.ค.) อาวุธของรัสเซีย ก่อความทรุดโทรมแก่ที่ตั้งทางพลังงาน ไม่นานก่อนที่ แคทเธอรีน โคลอนนา รัฐมนตรีต่างประเทศประเทศฝรั่งเศส เดินทางมาเยือน

“สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ การโจมตีระลอกใหม่ ใส่โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือนของยูเครน ไม่ใช่การทำสงคราม แต่มันเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม” เธอกล่าว ทั้งนี้ โคลอนนา มีกำหนด พบปะกับ ดมีโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน เพื่อปรึกษาหารือและขอคำแนะนำเกี่ยวกับความช่วยเหลือ ด้านการทหาร

รวมทั้ง มนุษยธรรม และ ความเป็นไปได้ที่ประเทศฝรั่งเศส จะเข้าร่วมกับพันธมิตรนาโต้ สำหรับเพื่อการจัดหารถถังต่อสู้แก่ยูเครน ซึ่งในกรณีนี้ก็คือรถถังเลคเลิร์ค

รัสเซีย ยิงขีปนาวุธ

ที่ผ่านมา ทั้งมอสโก รวมทั้งเคียฟ ต่างพึ่งพาอาศัย รถถัง T – 72 ในยุคสหภาพโซเวียต แล้วก็คาดหมายว่า จะมีการเปิดฉากจู่โจมทางพื้นทวีปรอบใหม่ ในฤดูใบไม้ผลินี้

ยูเครน ขอรถถังสมัยใหม่ หลายร้อยคัน ในความคาดหวังว่า จะใช้พวกมันทำลายแนวคุ้มครองปกป้องของรัสเซีย เพื่อทวงคืนดินแดนที่ถูกครอบครอง ทางภาคใต้ และก็ ภาคตะวันออกของประเทศ “กุญแจสำคัญในตอนนี้ก็คือ ความรวดเร็ว และปริมาณ ในการมอบรถถังสนับสนุน” เซเลนสกี กล่าวในวิดีโอ เมื่อวันพุธ (25ม.ค.)

สหรัฐฯ เป็นห่วงเกี่ยวกับ การประจำการรถถัง เอ็ม 1 เอบรามส์ ที่ยากต่อการบำรุงรักษา แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็สัญญาจะมอบให้ ยูเครน 31 คัน เพื่อชักจูงให้ เยอรมนี รับปากว่า จะมอบรถถัง ลีโอพาร์ด ที่ผลิตโดยเยอรมนี รวมทั้ง ใช้งานง่ายกว่า แก่เคียฟด้วยเหมือนกัน

เบื้องต้น เยอรมนี จะมอบรถถัง 14 คัน ให้เคียฟ และ อนุญาตให้พันธมิตรยุโรป อื่น ๆ ส่งต่ออีกทอด พร้อมระบุรถถังลีโอพาร์ด คงจะไปสู่ปฏิบัติการได้ในอีก 3 ถึง 4 เดือน ข้างหน้า ส่วน สหราชอาณาจักร กำหนดในวันพฤหัสบดี (26ม.ค.) คาดหมายว่า รถถังชาเลนเจอร์ 14 คัน น่าจะจัดส่งถึงมือ ยูเครน ภายใน 2 เดือน

นอกจากนี้แล้ว แคนาดา เปิดเผยในเวลาถัดมา ว่าจะส่งรถถังลีโอพาร์ด 2 จำนวน 4 คันให้แก่ ยูเครน รวมถึงกำลังพลของกองทัพ ที่จะช่วยฝึกทหารยูเครน สำหรับใช้งาน ยุทโธปกรณ์ดังกล่าว

ที่มาของข่าวด้านการทูต 2 คน เปิดเผยว่า ฝรั่งเศส และก็ อิตาลี ก็กำลังได้ผลสรุป เนื้อหาทางด้านเทคนิค สำหรับการจัดหาระบบคุ้มภัยทางอากาศ SAMP / T แก่ยูเครน แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า การตัดสินใจขั้นสุดท้าย จะเกิดขึ้นเร็วมากแค่ไหน

(ที่มา:รอยเตอร์)

ส่องด่วน! ทะเบียนรถนายกฯ ลงพื้นที่สุพรรณบุรี เขินเลย เจอชาวบ้านขอหอมแก้ม

นายกฯ ฟิต เสร็จ ครม. บินลง ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี รับปัญหาชาวบ้านไร้ที่ทำกิน 113 ราย หลังร้องเรียนไม่คืบ ย้ำ มาไขปัญหา ยึดตามกม. มิได้หวังให้รักและไม่ได้มาการเมือง เจอราษฎรขอหอมแก้ม แก้เขิน บอกต้องระมัดระวังโควิด ให้ถ่ายภาพแทน

วันหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อตรวจราชการ โดยเมื่อเดินทางถึง นายกฯเดินทางไปยังพื้นที่ใช้ประโยชน์ ณ แปลงจัดสรร ตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง ตรวจติดตามพื้นที่ทำกิน กรณีประชาชนไร้ที่ทำกิน 113 ราย ร้องทุกข์การขอจัดที่ดินทำกินล่าช้า

แล้วหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี พบปะสนทนากับประชาชน ที่ได้รับจัดสรรพื้นที่ใช้ประโยชน์ ที่ อบต. วังยาว เมื่อนายกฯ มาถึงได้รับ พวงมาลัย รวมทั้งดอกไม้จากประชาชน โดยระบุว่า ขอบคุณมากทุกคน ตนมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นายกฯ ลงพื้นที่สุพรรณบุรี
นายกฯ ได้ถามปัญหากับราษฎร โดยระบุว่า

นายกฯ ทำ คทช. มาหลายปีแล้ว ก่อตั้งคณะกรรมการขจัดปัญหาให้กับผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วจนถึงรัฐบาลนี้ วันนี้ถือโอกาสมาดูว่ามีปัญหาอะไรอีกบ้าง การันตีว่าตนมาในนามนายกฯ รักทุกคนอยู่แล้ว ยืนยันจะต้องทำให้ถูก

เดินระหว่างที่นายกรัฐมนตรีพูดกับราษฎร ไมค์ติด ๆ ดับ ๆ กระทั่งชาวบ้านแซวว่า ไม่ต้องใช้ไมค์ นายกรัฐมนตรีไฟแรงอยู่แล้ว

นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้มาเพื่อความเป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองมีนโยบายเรื่องความเท่าเทียม และการเข้าถึงโอกาส ดูแลผู้มีรายได้น้อย แต่ทั้งผองจะต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย กฎกติกาจะต้องเห็นด้วยซึ่งกันและกัน

นายกรัฐมนตรี สัญญาว่า หลักการทั้งหมดทั้งปวงนั้นอนุมัติให้อยู่แล้ว แต่ว่าจะต้องวิเคราะห์เอกสารสิทธิ์ว่าถูกไหม โดยได้ออกคำสั่งให้ดูที่ดิน 2 แปลงใหญ่

ว่าเป็นการเช่าตามกฏหมายไหม ออกมาอย่างนั้นได้ยังไง จะต้องไปตรวจดูอีกครั้ง พร้อมระบุอีกว่า ข้อตกลงสำคัญคือต้องตรวจสอบว่า ประชาชน 113 ราย

มีที่ดินทำมาหากินที่อื่นๆหรือเปล่า ถ้าหากมี จะมิได้รับการจัดสรร ซึ่งชาวบ้านรับปากว่า ครับผม ส่วนนายกฯแซวว่า พูดเพราะ เป็นทหารเก่าหรือเปล่า

นายกรัฐมนตรี ถามคำถามว่า ใครคนไหนเป็นคนจัดแบ่งให้ ประชาชนว่า “คุณพี” นายกฯ ถามว่า “คุณพี” คือใคร แต่ไม่ว่าใคร ก็ตัดสินไม่ได้ เพราะว่าตนคือนายกรัฐมนตรี หากนายกรัฐมนตรี ตัดสินมิได้ ใครก็ทำให้มิได้เช่นเดียวกัน

ดังนี้ ราษฎร บอกว่า ผู้ว่า ไม่ดำเนินการให้ นายกฯ ก็เลยรีบห้ามว่า ไม่ใช่ ศัตรูกัน คนประเทศไทยด้วยกันทั้งนั้น ตรงนี้ตนได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการไปดำเนินการเรียบร้อยแล้ว

นายกฯ พูดว่า ได้ออกคำสั่งไปว่า ให้ดำเนินการให้ชาวบ้าน 113 ราย นี่ก่อน ซึ่งหากถูกต้อง จึงควรทำผัง และจับสลากว่าใครอยู่ตรงไหน ซึ่งจากการเอกสาร พบว่า มีประชาชนไม่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ 59 ราย เหลือแค่ 54 รายที่ถูก พร้อมย้ำว่า ให้ทุกคนจะต้องยอมรับกฎข้อตกลงนี้

นายกฯ ไต่ถามถึงที่ดินแปลงหนึ่งที่มีการไปล้อมรั้วลวดหนาม บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปหรืออย่างไร พร้อมถามว่า โอเค แล้วก็พอใจไหม ตนมาประสานให้ทุกอย่างเดินหน้า มิได้มาทำ เพื่อทุกคนรักตน ถ้าเกิดจะรักก็รักอยู่แล้ว แต่ทำวันนี้ คือทำให้ถูกต้อง วันนี้ตนมาประสาน เพื่อดำเนินงานต่อไปให้ได้ มิได้ทำเพื่อเอาอกเอาใจ วันนี้หากสำเร็จจะต้องให้เครดิตกับผู้ว่าฯ และก็คณะทำงาน อย่าไปโกรธกัน โกรธกันไม่ได้ เนื่องจากว่าจะต้องรักษากฎหมาย

หลักนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ จำเป็นต้องเดินคู่กัน ถ้าขัดแย้งกันบ้านเมืองก็เดินต่อไปมิได้ จำเป็นต้องสร้างความรักความสามัคคี จะพูดว่ารักนายกรัฐมนตรีหรือไม่ชอบผู้ว่าฯ ก็ไม่ได้ ควรจะมีกฎหมายดูแล วันนี้การทำงานก็มีรองนายกฯอยู่หลายคน

ส่องด่วน ทะเบียนรถนายกฯ
ดังนี้ ราษฎร พูดว่า รู้สึกดีใจ ที่ นายกฯ ลงมาดูด้วยตนเอง เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับ ถ้าเกิดนายกฯไม่มา

อาจทำให้ถูกตัดสิทธิ์ได้ พร้อมกันนี้ มีชาวบ้าน โอบกอดนายกรัฐมนตรี รวมทั้งขอถ่ายภาพ พูดว่า นายกรัฐมนตรี หล่อกว่าในโทรทัศน์ อีกทั้งมีชาวบ้านขอหอมแก้ม แต่ว่านายกฯ บอกว่า โควิดยังมีอยู่ ก็เลยให้ถ่ายรูปด้วยแค่นั้น

ช่วงท้าย นายกฯ กล่าวว่าปัญหามี แต่ว่าจะให้ลงไปทุกพื้นที่อาจจะไม่มีเวลา เพราะเหตุว่ามีปัญหา รวมทั้งงานอีกเยอะที่จะต้องทำ แค่ขอให้ยกปัญหาครั้งนี้ เป็นบทเรียน เพื่อจะนำร่องไปแก้ปัญหาที่ดินสำหรับประกอบอาชีพในพื้นที่อื่นได้ยังไง

ยิ่งกว่านั้น ยังมีตัวแทนประชาชนอีก 6 คน ขอให้นายกฯ แก้ไขปัญหาที่ดินสำหรับทำมาหากินที่ทับซ้อนกับที่ดินของรัฐ มีราษฎร 95 ครอบครัว ที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ ปัญหานี้ประชาชนเข้ามาทำกินในพื้นที่ ก่อนปี 2506 ที่ภาครัฐเข้ามาจัดระเบียบ ประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวน ทำให้ไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนใจเย็น ในช่วงเวลานี้กำลังอยู่ในกติกา ที่กำลังแก้อยู่ แล้วก็จะรับเรื่องนี้ไปพิจารณา ซึ่งปัญหานี้เป็นการประกาศพื้นที่ทับซ้อน ภายหลังจัดทำพื้นที่อัตรา 1:4000 วันนี้ตนมาแล้ว ก็จะรับเรื่องไว้ใหม่

นายกฯ กล่าวก่อนเดินทางกลับ ว่า วันนี้ตนพูดในนามรัฐบาล ไม่ได้มาหาเสียง หน้าที่ของ นายกฯคือให้ความเป็นธรรมกับประชาชนทั่วทั้งประเทศ การลงพื้นที่ครั้งนี้ การนำแนวทางไปใช้กับพื้นที่อื่นด้วย เนื่องจากว่า คทช. จะจัดระเบียบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งมีปัญหาอยู่มาก ราษฎรมีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่ว่านายกในฐานะประธาน คทช. ก็ได้มารับฟังปัญหาแล้ว ปรับปรุงเพื่อลดความขัดแย้ง ให้ ราษฎรได้รับความเป็นธรรมอย่างทั่วถึง ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล

สำหรับในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายกฯ ใช้รถฟอร์จูเนอร์ สีดำ เลขทะเบียน กฉ 4212 ยะลา

ชุมชนเอเชียช็อก! กราดยิง กลางงานฉลองตรุษจีนในสหรัฐฯ เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย

ชายคนหนึ่ง ก่อเหตุ กราดยิง ผู้คนเสียชีวิต 10 ราย รวมทั้ง บาดเจ็บอย่างน้อย 10 คน ในห้องบอลรูมแห่งหนึ่ง ระหว่างงานฉลองตรุษจีน ในตอนเวลาค่ำ วันเสาร์ (21 มกราคม) ใกล้ลอสแองเจลิส สหรัฐฯ ก่อนหลบซ่อนไปจากจุดเกิดเหตุ

มือสังหาร อยู่ระหว่างหลบซ่อน หลังจากก่อเหตุในเมืองมอนเทรีย์ พาร์ค รัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วก็ อ้างอิงจากคำให้การของพวกผู้ที่เห็นเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเชื่อว่า ผู้ร้ายน่าจะเป็นชายชาวเอเชีย อายุระหว่าง 30 ถึง 50 ปี

“เรา จำเป็นต้องเอาตัวบุคคลรายนี้ ออกจากท้องถนนให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ” โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายลอสแองเจลิส เคาน์ตี บอกกับผู้รายงานข่าว ระหว่างแถลงข่าวใน วันอาทิตย์ (22 ม.ค.) ที่มอนเทรีย์ พาร์ค หนึ่งในชุมชนคนประเทศอเมริกาเชื้อสายเอเชีย ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ที่ผ่านมา ในรุ่งเช้าวันเดียวกัน หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กำหนด ยังไม่ทราบว่า การจู่โจมคราวนี้มีแรงจูงใจด้านผิวสีหรือเปล่า โดยในเหยื่อผู้ตาย 10 รายนั้น แบ่งเป็นชาย 5 คน และ หญิง 5 คน แต่ไม่มีการเปิดเผยชื่อ ต่อสาธารณะแต่อย่างใด

กราดยิงกลางงาน

จากเหตุ กราดยิง ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เผยแพร่ภาพผู้ต้องสงสัย ที่บันทึกไว้ได้โดยกล้องวงจรปิด

ประสบพบเห็นเขาสวมแว่นตา สวมเสื้อแจ็กเกตสีเข้ม รวมทั้ง หมวกไหมพรมสีแก่ลายขาว และก็ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กล่าวว่าพวกเขาเผยแพร่รูปพวกนี้ ในความอุตสาหะระบุตัวตน ของผู้ต้องสงสัย และก็ ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยถูกมองในฐานะ “ติดอาวุธ และ อันตราย”

ตอนเวลาสายของ วันอาทิตย์ (22 ม.ค.) ห่างจากเมืองทอร์แรนซ์ เมืองแคลิฟอร์เนีย ราว 34 กิโลเมตร ตำรวจใช้ยานยนต์หุ้มเกราะหลายคัน ล้อมรถตู้ผลิตภัณฑ์สีขาวคันหนึ่ง ซึ่งบางทีอาจเกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัย

เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เผยออกมาว่า เจอชายคนหนึ่งที่คล้ายกับผู้ต้องสงสัยในทอร์แรนซ์ รวมทั้ง มีบุคคลรายหนึ่งอยู่ภายในยานพาหนะดังกล่าว “เราไม่ทราบสภาพของพวกเขา ซึ่งเขาอาจเป็นผู้ต้องสงสัยของเรา หรือไม่? มันก็มีความเป็นไปได้”

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ กำลังสืบสวนว่า เรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในสถานที่เต้นรำ อีกแห่งในเมืองอาลัมบรา ที่อยู่ติดกันราว 20 นาทีต่อมา ในคืน วันเสาร์ (21 ม.ค.) มีความเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมหมู่ที่มอนเทรีย์ พาร์ค ไหม หลังผู้รู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า พบเห็นชายชาวเอเชียคนหนึ่ง ถือปืนเข้าไปในงาน แต่ถูกผู้มาร่วมงานช่วยกันตะปบตัวไว้ ไม่มีการลั่นไกออกมา และ ชายคนนี้แอบหนีไปได้

มีคนที่บาดเจ็บอย่างน้อย 10 รายถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลท้องถิ่น เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ รวมทั้งมีอย่างน้อย 1 คน โคม่า ตำรวจมิได้กล่าวมาว่าผู้ร้ายใช้อาวุธปืนประเภทใดในการก่อเหตุ

เหตุกราดยิงคราวนี้เกิดขึ้นตอน 22.00 น.ตรงเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเมืองไทย 13.00 น.วันอาทิตย์) ในเมืองที่มีการจัดงานฉลองวันตรุษจีน มีการปิดท้องถนนหลายสายในเขตใจกลางเมือง เพื่อจัดงานเฉลิมฉลอง ซึ่งยั่วยวนใจผู้ที่มาร่วมงานหลายพันคน มาจากเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย รวมทั้ง หลังจากเกิดเหตุ ตำรวจเปิดเผยว่าแผนงานฉลองสำหรับ วันอาทิตย์ (22 มกราคม) ถูกยกเลิก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เชสเตอร์ ชอง ประธานหอการค้าจีน แห่งลอสแองเจลิส บอกคำจำกัดความเมืองที่มีประชาชนกร ราว 60,000 คน แห่งนี้ว่า เป็นสถานที่ ที่สงบเงียบ และก็งาม ที่ทุก ๆ คนรู้จักกัน แล้วก็ ช่วยเหลือเจือจานกันและกัน

กราดยิงกลางงานฉลองตรุษจีน

เมืองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากย่านใจกลางลอสแองเจลิส ราว 11 กม. เป็นที่รู้จักกันมานาน หลายทศวรรษ

ว่า เป็นเป้าหมายของคนเข้าเมืองจากจีน โดยในบรรดาประชากรทั้งหมดนั้น มีถึง 65% ที่เป็นชาวเอเชีย แล้วก็ เมืองแห่งนี้ ยังขึ้นชื่อลือนามด้านการมีร้านอาหารจีน รวมทั้ง ร้านขายของชำจีนเยอะมากๆ “ผู้คนที่โทร. หาผมเมื่อคืนนี้ พวกเขาหวั่นกลัว ว่ามันอาจเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง” ชอง กล่าว

ตำรวจมิได้เปิดเผยชื่อชมรมเต้นรำแห่งนี้ แต่ประสบพบเห็นเจ้าหน้าที่เข้า ๆ ออก ๆ “สตาร์บอลรูม แดนซ์ สตูดิโอ” ซึ่ง ทางเข้าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้เทปห้าม คลับแห่งนี้เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1990 แล้วก็ บนเว็บไซต์ของพวกเขาเป็นรูปงานฉลองเทศกาลวันตรุษจีนปีที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งพบเห็นผู้มาร่วมงานยิ้มแย้ม แล้วก็เต้นรำ ในชุดปาร์ตี้ ในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ และก็ ประดับไฟสว่างไสว

ครูราน หนึ่งของสโมสรเต้นรำแห่งนี้ ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ เล่าว่า ลูกค้าส่วนมากเป็นวัยกลางคน หรือ สูงอายุ แต่มีเด็กเข้าร่วมในคลาสสอนเต้น สำหรับเยาวชนเหมือนกัน

ใบปลิวที่โพสต์บนเว็บ เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ งานปาร์ตี้ วันตรุษจีน ในคืนวันเสาร์ (21 ม.ค) เริ่มตั้งแต่เวลา 19.30 น. ถึง 00.30 น.

ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับฟังรายงานสรุปเกี่ยวกับเหตุจู่โจมคราวนี้แล้ว แล้วก็ได้สั่งให้ เอฟบีไอ เข้าช่วยเหลือตำรวจท้องถิ่น

เหตุกราดยิงกลับมาเกิดขึ้นบ่อยครั้งในสหรัฐฯ รวมทั้งเหตุจู่โจมในมอนเทรีย์ พาร์ค ถือได้ว่าเป็นการกราดยิงฆ่าฟันชีวิตคนเรามากที่สุด นับตั้งแต่ พฤษภาคม 2022 โดยคราวนั้นมือปืนสังหารผู้เรียน 19 คน และ ครู 2 ราย ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในเมืองอูวัลเด เมืองเทกซัส

ส่วนเหตุกราดยิงที่นองเลือดที่สุด ในประวัติศาสตร์ของแคลิฟอร์เนีย เกิดขึ้นในปี 1984 โดยมือปืนลงมือสังหารผู้คนไป 21 ราย ที่ร้านแมคโดนัลด์ สาขาหนึ่งในเมือง ซานอิซิโดร ใกล้กับซานดิเอโก

(ที่มา : รอยเตอร์)

“ดิว อริสรา” แจงออกมาแฉ 4 พี่น้อง บ. เพราะอยากเป็นกระบอกเสียง ไม่ปล่อยผ่านกับเรื่องที่ผิดจนกลายเป็นปกติในสังคม

หลังจากออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก แฉ 4 พี่น้อง บ. ทำธุรกิจเว็บไซต์พนันใหญ่ พร้อมบอกฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สปายปฏิบัติงานกันด้วย ก็ทำเอา “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” เป็นเป้าสงสัย ว่าที่เจ้าตัวออกมาโพสต์แบบงี้ ไม่กลัวมีปัญหาหรอ รวมทั้ง หลายท่านต่างออกมาตั้งข้อคิดเห็นว่า เป้าหมายในคราวนี้ของดิว คืออะไรกันแน่ ปัจจุบัน ดิว อริสรา ได้ออกมาแจกแจง ผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้งว่า….

“สวัสดีค่ะ หลายวันที่ดิวหายไป ไม่ได้มีโอกาสออกมาบอก หรือ ชี้แจงอะไรเนื่องจาก ดิวติดธุระส่วนตัว แล้วก็ มีหลายอย่างที่จำเป็นต้องเตรียมพร้อมให้เรียบร้อย

วันนี้มีเวลา เลยขอ มาอธิบายคำถาม และก็ ตอบคำถามบางคำถาม ผ่านทาง Facebook ส่วนตัว เพื่อจะได้ไม่เป็นการก่อกวนคนรอบข้างตัวดิว ให้ต้องมานั่งตอบคำถามต่าง ๆ พวกนั้น

(ยาวหน่อยนะคะแต่อยากที่จะให้อ่านให้จบ)

ข้อแรก ดิวจะต้องขอบคุณ สำหรับความกังวล ทั้งจากผู้ที่รู้จัก และ ไม่รู้จักสำหรับในการกระทำคราวนี้ ที่ดิวออกมาโพสต์แชร์ข้อมูลต่าง ๆ (เป็นความจริง) ขอบพระคุณจากใจมาก ๆ นะคะ แต่ดิวอยากจะกล่าวว่า ดิวคิดทบทวนพินิจมาอย่างดีแล้ว แล้วก็ ในเวลานี้ ดิวมีความสุข ปลอดภัยดี สามีดิว ตัวดิว ครอบครัวพวกเราทำอาชีพปกติ เงินสะอาด และ ไม่มีอะไรจำต้องเป็นห่วง ซ่อนตัว หรือ พูดง่าย ๆ คือ บ้านเราไม่มีอะไรที่ผิด ให้ย้อนกลับมารังควานเราได้เลย และก็ ดิวมิได้จะไม่กลับประเทศไทยนะคะ กลับแน่นอน ดิวขอขอบคุณทุก ๆ ความปรารถนาดี รวมทั้ง ความเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของดิว และ ครอบครัวนะคะ

ดิว

จากการกระทำของดิว … ดิว ไม่ได้ต้องการความอวยยศ ชื่นชม ยกยอ และขอชี้แจง กรณี แฉ 4 พี่น้อง ตรงนี้ว่า

ดิวมิได้ทะเลาะกับใคร และ ไม่ได้ต้องการอะไรจากใคร จากในสิ่งที่บอก ไปมากกว่า ด้วยวัน และก็ ในช่วงเวลาที่เห็นสมควร และก็ ขอเป็นกระบอกเสียง ๆ หนึ่ง ที่ไม่ต้องการเพียงแค่เป็นคนที่ รับรู้ มองเห็น และก็ปล่อยผ่าน กับเรื่องที่ผิด และก็ปลดปล่อยผ่านมันไป จนถึง เรื่องที่ผิด กลายเป็น เรื่องปกติ ที่สังคมมองว่าทั่วๆไป จนมันกลายเป็นคำว่า “ผิด” เป็น “ถูก”

สำหรับเรื่องราวในอดีต ของดิวกับใคร อดีต คือ อดีต ที่ดิวผ่านมา และดิวไม่ขอโทษใคร ไปมากกว่าตัวเอง ไม่จำเป็นที่จะต้องเอ่ยถึง คิดกันไปไกล

เนื่องจากประเด็นมัน คือแค่ สิ่งที่ดิวทำ ดิวมีคำถามที่มีในใจตนเองตลอดมาว่า ถ้าเรารู้ เราเห็นว่า อะไรที่มัน ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร ผิดที่ผิดทาง และเราปล่อยมันไป ปล่อยมันไว้ แล้วเมื่อใดอะไร ๆ ในสังคม และก็ สิ่งที่เราต้องอยู่ มันจะดียิ่งขึ้นสักที

ดิวเชื่อว่า ในมุมมองคนจำนวนไม่น้อย บางอย่างบางอย่าง มันเรื่องที่เปลี่ยนยาก แต่หากไม่เริ่ม มันก็คงไม่มีทางแปลง และก็ พวกเราจะต้องอยู่กันแบบงี้ จริงหรอ? คำถามคือ หากจริง เด็ก หรือใครก็ตามที่เติบโตมา และจะต้องอยู่ในสังคม ที่มีอะไรอย่างงี้ มันจะท้อแท้มากแค่ไหน

ถ้าหากคนที่ทำผิด มีชีวิตที่ดีเผยตนเอง ออกหน้าแบบปกติทั่วๆไป คนที่ประพฤติดีทำถูก ทำมาหากินซื่อสัตย์ สู้กับชีวิตไปแต่ละวัน จะหดหู่ขนาดไหน ด้วยเหตุว่าดีเท่าใด มันก็อาจจะไม่ทัน คนที่ทำผิด และ รวยทางลัด กับสิ่งที่ผิดอยู่ดี

ชีวิตผู้คนบางครั้งอาจจะอยู่ที่จังหวะ รวมทั้งโอกาสแต่ละคน มีแตกต่าง แต่ดิวมั่นใจว่าคนทุกคนอยากปฏิบัติดี ให้เยี่ยมที่สุดให้กับชีวิตตนเองอยู่แล้ว คนทุกคนเลือกได้… คำถามคือ สำหรับคนที่ทำผิด ที่ทราบว่าสิ่งที่ทำมันผิด และ ยังเลือกทำผิดกันทั้งครอบครัว แล้วก็ กล้าดำเนินชีวิตแบบคนทั่วไป ในแบบฉบับ “รวยผิดปกติ” มันถูกต้อง ถูกที่ ถูกทางแล้วหรอ

อย่างไรก็ตาม ดิวเชื่อ และมีความหวังว่า กระบวนการยุติธรรม และก็ ตำรวจไทย เก่ง มีความรู้และมีความเข้าใจ และความเที่ยงธรรมมากพอ ที่จะจัดแจง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงในอะไรที่ผิด ให้อยู่ถูกที่ ดิวเชื่อแบบงั้นนะ จากข่าวสารที่ผ่านมา และความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่องก่อนหน้าที่ผ่านมา ของประเทศพวกเรา

ดิว แจง

สุดท้าย ดิวอยากบอกทุกคนที่เป็นห่วงดิว ให้เข้าใจดิวว่า

ข้อคิดเห็นในทางลบ หรือ โพสต์ต่าง ๆ ที่ออกมาตีกลับจากสิ่งที่ดิวทำ มันไม่ได้ทำให้ดิวรู้สึกอะไร ด้วยเหตุว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ดิวรู้เรื่องความจริงนี้ดี และไม่ขอสนใจ เนื่องจากดิว มีจุดยืน และเข้าใจตัวเองมากพอ

ดิวทราบดีว่าสิ่งที่ทำมันค่อนข้างจะเสี่ยง

เนื่องจากว่า 4 พี่น้อง มีคนนึงเป็นตำรวจ ที่ใช้เส้นสายเข้าไป ก็นับว่าเป็นผู้มีอำนาจ ตำรวจที่ขับรถสปอร์ตไปดำเนินงาน แต่ถ้าหากตัวดิวไม่เสี่ยงทำ ทุกอย่างก็คงไม่มีอะไร ที่เปลี่ยนแปลงแต่กลับแย่ลง

ขอบคุณทุกความสนใจ ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ ขอบคุณทุกคน ที่ชื่นชม ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ขอบคุณจริง ๆ

ขอฝากความคาดหวัง แล้วก็เป็นกำลังใจให้กับพี่ ๆ อา ๆ ตำรวจไทย แล้วก็ สายสืบโซเชียล คนเก่งทั้งหลาย ช่วยกันดำเนินงาน และก็สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้นกับสังคมไทยนะคะ

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ฝากแชร์ด้วยคะ

ปล. สำหรับคนที่มอง และก็สนใจประเด็น สำหรับเพื่อการโพสต์ของดิว ให้ประเด็นอื่น ดิวแค่อยากจะบอกว่า สิ่งที่สนใจ มันมิได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไร แต่สิ่งที่ดิวสื่อ ถ้าเกิดมันได้รับการปรับแก้เปลี่ยนแปลง มันจะเกิดคุณประโยชน์ ต่อสังคมแน่นอนค่ะ”

ฆ่าชิงทรัพย์ เปิดไทม์ไลน์ หนุ่มวัย 21 กดแอปฯ เรียกรถขอโชเฟอร์ผู้หญิง ก่อนฆ่ารัดคอชิงทรัพย์

เปิดไทม์ไลน์ ฆาตกรโหดเหี้ยม กดแอปฯ เรียกโชเฟอร์หญิง ก่อน ฆ่าชิงทรัพย์ รถ “แกร็บ ประเทศไทย” ออกแถลงการณ์ ผู้ตายไม่ใช่พาร์ทเนอร์บริษัท

แม่หมู หรือ นางเกศยุคล อายุ 50 ปี หายตัวไป เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2566 เวลาประมาณ 12.48 น. โดยขับขี่รถเก๋ง สีบรอนซ์เงิน ออกไปรับผู้โดยสารย่าน จากแฟลตปลาทอง ตึก315 รังสิต จ.ปทุมธานี ไปส่งที่ในพื้นที่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี

แล้วทางญาติของแม่หมู ไม่สามารถที่จะติดต่อแม่หมูได้อีก ก็เลยได้ประกาศตามหา ในที่สุดตำรวจสืบหา เจอแม่หมูถูกฆ่าชิงทรัพย์

15 เดือนมกราคม 2566 เวลาราว 18.00 น. ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางบัวทอง จับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่บริเวณแฟลตปลาทอง รังสิต รู้ชื่อ นายวีระณภูมิ หรือ อู๋ อายุ 21 ปี มีประวัติเคยถูกดำเนินคดีในข้อกล่าวหา หนีรับราชการทหาร เบื้องต้นผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ ใช้เชือกรัดคอเหยื่อจนตาย!

ล่าสุด วันที่ (16 เดือนมกราคม 2566) เวลาราว 13.30 น. ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางบัวทอง ได้ติดตามรถเก๋งของกลาง จนเจอ ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจสอบ พร้อมเก็บลายนิ้วมือแฝง

และ หลักฐานต่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี ร่วมถึงนำเชือกที่ฆาตกรใช้ก่อเหตุ นำมาจำลองเรื่อง เป็นเวลายาวนานกว่า 2 ชั่วโมง

หลังจากจำลองเหตุการณ์แล้ว ในเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พร้อม พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสตร์ ผกก.สภ.บางบัวทอง แถลงข่าวจับตัว นาย วีรัณัฐภูมิ พร้อมของกลาง รถเก๋งสีบรอนซ์เงิน และก็ เชือกที่ใช้สำหรับเพื่อการก่อเหตุ ที่ สภ.บางบัวทอง

ฆ่าชิงทรัพย์
โดย พล.ต.ต.ไพศาล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พูดว่า

“พฤติกรรมของนาย วีระณัฐภูมิ หรือผู้ต้องหาได้ให้การว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 66 ได้เรียกใช้บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันหนึ่ง โดยระบุว่าต้องเป็นผู้หญิงเพราะจะให้ไปรับแฟนสาวที่แฟลตปลาทอง รังสิต จังหวัดปทุมธานี ไปส่งที่หมู่บ้านพฤกษ์ลดา แต่เมื่อถึงจุดนัดรับ กลับมีเพียงผู้ต้องหาที่ขึ้นรถโดยไร้ซึ่งแฟนสาวที่อ้างถึง หลังผู้ตายขับรถถึงจุดหมาย ผู้ต้องหาไม่ยอมลงจากรถ ออกอุบายให้ผู้ตายขับรถไปส่งต่อหมู่บ้านเดอะวิลล่า บางบัวทอง

รถจอดลงที่ หมู่บ้านย่านบางบัวทอง วินาทีนั้นผู้ต้องหาจึงใช้เชือกรัดคอผู้ตายจนเสียชีวิตภายในรถ และใช้เชือกที่รัดคอเอามามัดมือมัดขาของผู้ตาย จากนั้นจึงนำศพไปทิ้งในป่าข้างทางภายในซอย วัดท่าเกวียน ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ค้นตัวผู้ตายได้เงินสดมาจำนวน 200 บาท โทรศัพท์ 1 เครื่องนำไปขายได้เงินมา 3,500 บาท ส่วนรถผู้ตาย ผู้ต้องหาได้นำไปขายให้กับคนรู้จักผ่านนายหน้าขายรถ 3 คน ในวันต่อมา (15 ม.ค. 66)

โดยในวันที่นำรถไปขาย ผู้ต้องหาได้ไปรับ น.ส.ปนัดดา ซึ่งเป็นแฟนสาวนั่งรถไปด้วย และได้อ้างกับแฟนสาวว่าเป็นรถของพ่อให้นำไปขาย จุดนัดรับรถคือ ปั๊มน้ำมันย่าน ต.บางน้ำจืด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งตกลงราคาขายรถกันที่ 40,000 บาท แต่ผู้ต้องหาได้รับเงินเพียง 25,000 บาท ส่วนต่างอีก 15,000 บาท ถูกหักให้กับนายหน้า 3 ราย ”

ส่วน นางสาวปนัดดา แฟนสาวของผู้ต้องหา จากการสืบสวนเบื้องต้น ยังให้การปฏิเสธ ว่ามีส่วนรู้เห็น หรือร่วมวางแผน กับตัวผู้ต้องหาแต่อย่างใด ต่อจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะทำการสอบสวนสืบสวนขยายผลต่อไป

ฆ่าชิงทรัพย์ รถ

ทางด้าน แกร็บ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ ในกรณีที่มีความเข้าใจผิด เกี่ยวกับเหตุ ฆ่าชิงทรัพย์ ที่เกิดขึ้น

กับผู้ขับเพศหญิง ซึ่งให้บริการเรียกรถส่วนตัว ผ่านแอปพลิเคชัน โดยกล่าวว่า

จากกรณีที่มีสื่อมวลชนได้นำเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมชิงทรัพย์ที่เกิดขึ้นกับคนขับเพศหญิงรายหนึ่งซึ่งให้บริการเรียกรถยนต์ส่วนบุคคลผ่านแอปพลิเคชัน โดยระบุว่าเป็นพาร์ทเนอร์ “คนขับแกร็บ” หรือให้บริการ “แกร็บคาร์เลดี้” นั้น แกร็บ ประเทศไทย ขอเรียนชี้แจงว่า ภายหลังการตรวจสอบข้อมูล ทั้งชื่อและนามสกุล รวมถึงทะเบียนรถที่ปรากฏตามรายงานข่าว ไม่พบข้อมูลของผู้เคราะห์ร้ายในฐานข้อมูลพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บ โดยบริษัทฯ ได้ประสานงานเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินคดีทันทีตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และขอยืนยันว่า ในฐานะผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มที่ให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งได้รับการรับรองแอปพลิเคชันสำหรับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จากกรมการขนส่งทางบก แกร็บให้ความสำคัญสูงสุดกับการรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ และกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทั้งผู้ใช้บริการและพาร์ทเนอร์คนขับ

แฟนคลับสุดคิดถึง เปิดภาพปัจจุบัน ‘จิ๊บ คีตภัทร’ นางเอกดัง ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

จัดเป็นอีกหนึ่งดาราหนังสาวสวยที่คนจำนวนไม่น้อยตกหลุมรักเธอหนักมาก สำหรับสาว จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์ ที่ฝากผลงานสุดปังเอาไว้เป็นอย่างมาก เป็นต้นว่า กามเทพลวง, กว่าจะรู้เดียงสา, หมอผีไซเบอร์, เบญจา คีตา ความรัก อื่นๆอีกมากมาย ถึงแม้ปัจจุบันนี้เธอจะไม่ค่อยมีผลงานแสดงออกทางจอให้ได้เห็นกันเท่าไหร่ แต่บอกเลย แฟนคลับรักเธอ และคิดถึงหนักมาก

งานนี้เราเลยไม่พลาด เชื้อเชิญทำความรู้จักสาว จิ๊บ เบาๆและพาไปชมรูปสวยๆของสาวจิ๊บกัน ที่บอกเลยว่า เธองาม หุ่นดี และสะดุดตาไม่เปลี่ยนแปลงเลย โดยสาวจิ๊บเกิด|วันที่ 21 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2527 เป็นนักแสดงคนประเทศไทยในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 จิ๊บ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว อันติมานนท์ เป็นนักแสดงสาวคนประเทศไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของดาราชายคือ จิม เจจินตัย แวนดิว

จิ๊บ มีการแสดงงานเรื่องแรก ดังเช่น กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบทบาท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกใน ละครหลังข่าว เรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่ง ละครเรื่อง ลูกหลง ทำให้ คีตภัทร เป็นดาราหนังที่รู้จักกัน และโด่งดังในยุคนั้น ต่อมา คีตภัทร รับงานละครหลายๆเรื่อง และเป็นการพลิกบทบาทเป็นนางร้าย และเป็นดาราที่มีคุณภาพ และมีความสามารถ ด้านการแสดงอีกคับคั่งนั่นเอง

โดยหลังจาก จิ๊บ เบาๆงานในวงการบันเทิงไป จากทางจอ ก็ทำเอาแฟนคลับคิดถึงหนักมาก พากันมาส่องไอจีของเธอ และบอกรัก บอกคิดถึง รวมถึงส่องชีวิตสุดปังของเธอ กันเป็นอย่างมาก

แฟนคลับสุดคิดถึง จิ๊บ คีตภัทร

​​ทำความรู้จัก สวยเก่งครบสูตร จิ๊บ คีตภัทร อดีตนางเอกดังยุค 90

เป็นอีกหนึ่งศิลปินสาวสวย ที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานมากๆสำหรับ จิ๊บ คีตภัทรน้องสาวของศิลปินชายหนุ่ม จิม เจจินตัย อันติมานนท์ โดยทั้ง จิ๊บ และ เจจินตัย เป็นผู้แสดงที่เลื่องลือมากๆในยุค 90 แม้ใครเคยดูละครดังช่อง 7 อย่างเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก หรือ กว่าจะรู้เดียงสา มั่นใจว่าต้องคุ้นตา จิ๊บ คีตภัทรวันนี้ เราจะพามาทำความรู้จักจิ๊บ คีตภัทร กันอีกครั้ง เผื่อคนใดที่ยังไม่ทราบ หรือ จำสาวคนนี้ไม่ได้

คีตภัทร อันติมานนท์ ชื่อเล่น จิ๊บ

เกิดเมื่อวันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527

เป็นดาราชาวในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

จิ๊บ คีตภัทรเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ

เป็นบุตรสาวคนเล็กของครอบครัวอันติมานนท์

จิ๊บ เป็นดาราหนังสาวคนประเทศไทยซึ่งเป็นน้องสาวของ นักแสดงชายคือ จิม เจจินตัย อันติมานนท์

สำหรับเรื่องของการเข้าวงการบันเทิงของจิ๊บ คีตภัทร นั้น คุณเริ่มเข้าวงการสายบันเทิงไทย เป็นดาราในสังกัดศิลปินวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

และส่งผลงานเรื่องแรกเป็นต้นว่า กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบทบาท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกในละครหลังข่าวเรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกหนึ่งเรื่องละครเรื่อง ลูกหลง ซึ่ง จิ๊บ ส่งผลงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอเป็นดาราที่รู้จักกัน และโด่งดังในยุคนั้น และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักเป็นเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก ซึ่ง จิ๊บ รับงานละครหลายๆเรื่องและเป็นการพลิกบทบาทเป็นนางร้ายและเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ และมีความสามารถด้านการแสดงเป็นอย่างมาก

พักหลังๆเธอได้เฟดตัวออกจากวงการบันเทิง และยังดำเนินงานมีธุรกิจส่วนตัว รวมถึงเธอยังมีธุรกิจส่วนตัวควบคู่ไปด้วย และนอกจากนี้ จิ๊บ ยังเป็นพาร์ทเนอร์ ร้านอาหารไทย ที่ชื่อ Noi Thai Cuisine Greenlake ที่ Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกด้วย ต้องกล่าวว่า สาวคนนี้ ทั้งสวย มากความสามารถ ครบสูตรจริงๆ

ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

“จิ๊บคีตภัทร” จ่อฟ้อง! สับเละคนปล่อยข่าว นางเอก จ. กระทบครอบครัว-แฟน

หลังจากที่ผู้ใช้ ติ๊กต๊อก รายหนึ่ง ได้ออกมาเปิดเผยข้อความว่า “มีข่าวหลุด!! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี แอบไปซื้อหนุ่มนอกวงการกิน แล้วโดนหนุ่มอัดคลิปแบล็กเมล์ เรียกเงิน 4 แสน ล่าสุดมีคลิปหลุดออกมา เร็วๆ นี้เจ้าตัวเตรียมแถลงข่าวแน่นอน”

ต่อมา ก็ได้โพสต์อีกว่า “โดนแล้ว! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี ชื่อย่อ จ. เข้าแจ้งความเอาผิดหนุ่มนอกวงการ หลังขายคลิปตนเองที่กำลังมีอะไรกัน ให้กลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท ซึ่งความยาวคลิปเต็ม 21 นาที เห็นหน้าตัวเองชัดเจน เลยทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าตัวลั่นไม่ยอมความ พร้อมเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

จนทำให้ชาวเน็ตแอบเดากันไป ต่างๆนานา ว่าอดีตนางเอกจ. ช่องหลายสีคือใคร ซึ่งหนึ่งในนั้นแอบมีคนผุดชื่อขึ้นมา ว่าใช่ “จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์” ดาราหนังสาวสมัย 90 หรือเปล่า ทำให้วันนี้ (13 ม.ค.) เจ้าตัวจะต้องรีบออกมาชี้แจงผ่านไอจี ว่าตัวเองไม่ใช่คนในข่าวอย่างแน่นอน พร้อมจะดำเนินคดีตามกฎหมาย กับคนที่ทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเสียหาย

“ขออนุญาตชี้แจงข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ ว่าไม่ใช่จิ๊บแน่นอนค่ะ จากข่าวที่มีการใช้ชื่อหรือเจตนาใช้ภาพจิ๊บซึ่งทำให้ เกิดความเข้าใจผิดและเสียหายต่อตัวจิ๊บ ครอบครัว และแฟนเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง ไม่ได้เกิดเรื่องและไม่ได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีใดๆ อย่างในข่าว จิ๊บมาหาครอบครัวที่อเมริกาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วค่ะ อยากขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวส่วนผู้ที่ทำให้จิ๊บและครอบครัวได้รับความเสียหาย จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาสิทธิและ ความถูกต้องให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่ส่งเข้ามานะคะ”

ทร.เผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตรายที่ 24 เรือหลวงสุโขทัย คือ "ต้นเรือพลับ"

โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผย ผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล คนเสียชีวิตรายที่ 24 จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง คือ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ เสาร์นี้จัดเตรียมเคลื่อนร่างจาก ฐานทัพเรือกรุงเทพ ไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ณ วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา

พลเรือเอก ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ กล่าวมาว่าปัจจุบัน จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง กองทัพเรือยังคงดำรงการค้นหา ผู้สูญหาย โดยตลอดต่อไป ผลการปฏิบัติจนถึงในตอนนี้ ยังไม่มีการเจอผู้สูญหายเพิ่ม

ในเวลาที่ผลพิสูจน์ เอกลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตรายที่ 24 จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง ปัจจุบันนี้ สามารถยืนยันได้ว่า คือร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ ต้นเรือเรือหลวงสุโขทัย

ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์
โดยในวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2566 เวลา 13.30 น. จะมีการเคลื่อนร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์

ออกจาก ฐานทัพเรือกรุงเทพ เขตบางกอกน้อย จ.กรุงเทพฯ ไปยัง วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา

โดยมี ผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกำลังพลกองทัพเรือ ในพื้นที่ ร่วมพิธี ในการนี้ทัพเรือได้จัดกองทหารเกียรติยศ รวมทั้ง ขบวนรถเคลื่อนร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ อย่างสมเกียรติ โดยจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ วัดศรีเอี่ยม ในเวลา 17.30 น

สรุปการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (วันที่ 12 ม.ค. 2566) เวลา 17.00 น. ยอดกำลังพล 105 นาย รอดชีวิต จำนวน 76 นาย เสียชีวิตรวม 24 นาย สูญหาย 5 นาย สำหรับรายนามกำลังพล ที่เสียชีวิต ซึ่งสามารถเพื่อยืนยันตัวบุคคล ได้แล้ว จำนวน 24 นาย

พี่สาว พี่ชาย โพสต์เศร้าเสียใจ หลังจาก ทร.ยืนยัน ร่างที่พบคือ “ต้นเรือพลับ”

พี่สาว พี่ชาย โพสต์โศกเศร้า หลังจาก ทร.เปิดเผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล คนเสียชีวิตรายที่ 24 รับรองร่างที่พบเป็น “ต้นเรือพลับ”

จากในกรณีที่ พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล คนเสียชีวิตรายที่ 24 จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยจม เวลานี้สามารถยืนยันได้ว่าเป็นร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ ⁣⁣

โดยในวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2566 เวลา 13.30 น. จะมีการเคลื่อนร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ ออกจากฐานทัพเรือกรุงเทพฯ เขตบางกอกน้อย จังหวัดกรุงเทพ ไปยัง วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา โดยมีผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกำลังพลกองทัพเรือในพื้นที่ร่วมพิธี ⁣⁣
⁣⁣
ในการนี้กองทัพเรือได้จัดกองทหารเกียรติยศ แล้วก็ ขบวนรถเคลื่อนร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ อย่างสมเกียรติ โดยจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ วัดศรีเอี่ยม ในเวลา 17.30 น⁣⁣. ดังที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

พี่สาว พี่ชาย ต้นเรือพลับ
ทั้งนี้ พี่สาวของ ต้นเรือพลับ ได้โพสต์ภาพ 3 คนพี่น้อง พร้อมเนื้อความอาลัย ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“พี่ไม่คิดเลยว่ารูปนี้ จะเป็นรูปสุดท้ายของเรา 3 คนพี่น้อง คุณยายคะ คุณยายบอกว่าหนูเป็นพี่คนโตให้หนูดูแลน้อง แต่หนูไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้เลย หนูขอโทษนะคะ ตอนนี้คุณยายเจอเจ้าตัวเล็กของเรารึยังคะ ฝากดูแลน้องด้วยนะคะ พลับพูดอยู่เสมอว่าคิดถึงอาหารที่คุณยายทำ

พลับ พี่รักพลับมากนะ หลับให้สบายนะน้องรัก ไม่ต้องห่วงคุณพ่อคุณแม่และกุ๊กกิ๊กนะ พี่กับพี่พีทจะดูแลทุกคนเอง

2565 ใจร้ายเหลือเกิน พรากคนที่เรารักที่สุดในชีวิตไปถึง 2 คน”

ขณะที่ พี่ชายต้นเรือพลับ อธิบายผ่านเฟซบุ๊กว่า “ไม่ใช่ว่าเราทำใจไม่ได้ หรือไม่ยอมรับความจริง แต่จากประสิทธิภาพของการประสานงานกับการสื่อสารในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีอะไรทำให้เราเชื่อมั่นได้เลย การที่มีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งญาติว่าฟันตรง โดยไม่ให้ข้อมูลอื่นๆ หรือมีหลักฐานประกอบเลย ถ้าเป็นคุณ คุณจะเชื่อไหม ตามหลักแล้ว ญาติมีสิทธิ์ที่จะรับรู้และเข้าถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และตามกระบวนการ เรามีสิทธิ์ที่จะร้องขอการตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อความมั่นใจว่าได้ส่งร่างคืนให้ถูกครอบครัว และอาจจะเป็นการซื้อเวลาให้ญาติมีเวลาทำใจมากขึ้น ผมเป็นหมอ ผมเป็นทหาร ผมรู้อยู่แล้วว่าโอกาสที่เค้าจะรอดหลัง 48-72 ชม. มันแทบจะไม่มีเลย

คนที่บอกว่าทำใจยอมรับเหอะ หลายวันแล้ว ผมไม่รู้หรอกนะว่าเค้าเติบโตมายังไง แต่ครอบครัวของเราเติบโตมาด้วยความรัก การจะต้องสูญเสียใครไปสักคน มันไม่ใช่เรื่องง่าย ระยะเวลาในการทำใจของแต่ละคน หรือการจัดการกับอารมณ์ของแต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน ผมเป็นพี่ผมยังปวดใจขนาดนี้ แล้วหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ล่ะครับ ไหนจะน้องสะใภ้ผมอีก แค่ต้องคิดว่าผมจะไม่ได้กอดน้องแล้ว น้องที่ผมอุ้มมาตั้งแต่น้องเกิด ไอ้หมาของผม ผมยังห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้เลย ตัวผมเองก็เตรียมใจมาแล้วประมาณนึง ด้วยหลักการและเหตุผล สมองมันเข้าใจนะครับ แต่หัวใจเองมันก็ยังรับไม่ได้ มองเห็นอะไรก็คิดถึงน้องไปหมด พอคิดถึงแล้วน้ำตาก็ไหล แล้วพ่อแม่ผมล่ะครับ พวกท่านจะเป็นยังไง

ผมขอขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจที่ส่งมาให้นะครับ ตอนนี้ผมขอเวลาและขอความเป็นส่วนตัวให้คนในครอบครัวด้วยครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณทุกคนมากๆจริงๆ”

ทั้งนี้ หลังจากที่เนื้อความดังกล่าว ถูกแชร์ออกไป ทำให้คนที่ติดตามข่าวการค้นหา “ต้นเรือพลับ” เข้ามาแสดงความระลึกถึงจำนวนมาก.